เครื่องรับ-ส่งวิทยุสื่อสาร
นายธนาชา รัตนะเพิ่ม ปวส.1 โทรคมนาคม กลุ่ม1-2 เลขที่ 7
เครื่องรับ-ส่งวิทยุสื่อสาร
เครื่องรับ-ส่งวิทยุในปัจจุบันส่วนใหญ่นิยมใช้วิธีสังเคราะห์ความถี่ เรียกว่า“Synthesizer”
ซึ่งกรมไปรษณีย์โทรเลข ได้แบ่งประเภทเครื่องวิทยุคมนาคมแบบสังเคราะห์ความถี่ของหน่วยงานราชการ
และรัฐวิสาหกิจ ไว้ 2 ประเภทคือ
1. เครื่องวิทยุคมนาคมแบบสังเคราะห์ความถี่ ประเภท1
หมายถึงเครื่องวิทยุคมนาคมที่ผู้ใช้งานสามารถตั้งความถี่วิทยุได้เองจากภายนอกเครื่องวิทยุ
2. เครื่องวิทยุคมนาคมแบบสังเคราะห์ความถประเภที่ 2 หมายถึง เครื่องวิทยุคมนาคมที่ผู้ใช้งาน
ไม่สามารถตั้งความถี่วิทยุได้เองจากภายนอกเครื่องวิทยุคมนาคม แต่สามารถตั้งความถี่วิทยุ
ด้วยเครื่อง PC โดยการโปรแกรมความถี่วิทยุที่ใช้งานเข้าไปยังหน่วยความจําของเครื่องนั้นๆ
*** กรมชลประทานได้รับอนุญาตให้ใช้วิทยุคมนาคมประเภท 2 เท่านั้น ***
การดูแลบํารุงรักษาเครื่องรับ-ส่งวิทยุสื่อสาร (ชนิดมือถือ)
1. การใช้เครื่องวิทยุสื่อสาร ชนิดมือถือไม่ควรอยู่ใต้สายไฟฟ้าแรงสูงต้นไม้ใหญ่สะพานเหล็ก
หรือสิ่งกําบังอื่นที่เป็นอุปสรรคในการติดต่อสื่อสารกัน
2. ตรวจดูสายอากาศ สายนําสัญญาณว่าต่อเรียบร้อยแน่นหนาหรือไม่
3. ขณะส่งออกอากาศไม่ควรเพิ่มหรือลดกําลังส่ง
4. ในการส่งสัญญาณ หรือพูดไม่ควรกดคีย์นาน เกิน 30 วินาที
5. แบตเตอรี่ถ้าเป็นแบตเตอรี่ใหม่ควรชาร์ตนาน 16 ชั่วโมง
6. แบตเตอรี่ควรใช้ให้หมดกระแสจึงนําไปชาร์ตใหม่
7.ถ้าแบตเตอรี่สกปรกให้ใช้ยางลบหมึกถูทําความสะอาดทั้งขั้วแบตและตัวเครื่อง
8. ความยาวของเสาอากาศต้องสัมพันธ์กับความถี่ที่ใช้งาน และกําลังส่งของเครื่องด้วย
9. เสาอากาศชนิดชัก ต้องชักสายอากาศให้สุดก่อนใช้งานทุกครั้ง
10. ควรทําความสะอาดวิทยุสื่อสารโดยการเป่าลม หรือใช้พู่กันปัดทําความสะอาดฝุ่นติดอยู่
11. ไม่ควรให้เครื่องโดนน้ํา หรือตากแดดนาน ๆ
12. อย่าบิดหรือหมุนเสาอากาศเล่น
13. ระวังอย่าให้เสาอากาศ หักงอ ทําให้ประสิทธิภาพในการรับ – ส่ง ลดด้อยลง
วิทยุสื่อสารคือ เครื่องรับ-ส่งสัญญาณวิทยุ ระยะส่วนใหญ่ของวิทยุสื่อสารมือถืออยู่ที่ประมาณ 5 กม.
วิทยุสื่อสารไม่มีผู้ให้บริการ ไม่มีค่าใช้จ่ายรายเดือน เพียงแค่มีเครื่องรับส่ง ก็สามารถเข้าสู่เครือข่ายได้ มักจะใช้ในการแจ้งสภาพจราจร สภาพอากาศ แจ้งภัยพิบัติ ประสานเหตุต่างๆ อุบัติเหตุ อาชญากรรม พูดคุยและแจ้งข่าวสารต่างๆแก่สมาชิก ประสานความช่วยเหลือให้แก่ผู้ที่ประสบภัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการประสานในเครือข่ายกันเอง หรือว่าศูนย์วิทยุเครือข่ายต่างๆ กู้ชีพ กู้ภัย ตำรวจชุมชน ฯลฯ
วิทยุสื่อสารที่นิยมใช้กันส่วนใหญ่ในประเทศไทย มีอยู่สามแบบ
1.วิทยุสื่อสารเครื่องแดง ย่านความถี่ 245MHz
2.วิทยุสื่อสารสมัครเล่นเครื่องดำ ย่านความถี่ 144-146MHz
3.วิทยุสื่อสารราชการเครื่องดำ ย่านความถี่ 136-174MH
ซึ่งวิทยุสื่อสารแต่ละประเภทมีข้อกำหนดการใช้งานและการทำใบอนุญาตแตกต่างกันไป
วิทยุสื่อสาร แบ่งเป็นสามประเภทนะครับ
1 วิทยุสื่อสารชนิดมือถือ คือแบบที่เราเห็นตำรวจใช้กันนะครับส่วนจะเป็นประเภทไหนยังมีแยกย่อยออกไปอีกหลายประเภทครับ
2 วิทยุชนิดตั้งประจำที่ คือแบบที่ใช้ตั้งสถานีเราอาจไม่ค่อยใด้พบเห็นกันบ่อยนักส่วนมากมักใช้ตามสถานที่ราชการแต่ที่เรามักเห็นกันคือใช้วิทยุชนิดติดในรถยนตร์มาดัดแปลงใช้เป็นวิทยุติดตั้งประจำที่ซึ่งเป็นการใช้งานที่ผิดประเภทแต่เนื่องจากวิทยุสื่อสารชนิดติดตั้งประจำที่นั้นมักมีราคาแพงจึงไม่เป็นที่นิยมมากนักนอกจากสถานีนั้นๆมีงบประมาณในการซื้อสูงและมีความจำเป็นต้องใช้วิทยุที่มีกำลังส่งสูง
3 วิทยุสื่อสารชนิดติดตั้งในรถยนตร์ คือวิทยุที่เราเห็นใช้กันมากทั้งนำไปติดในรถและใช้แทนวิทยุสื่อสารประเภทติดตั้งประจำที่มักจะออกแบบให้มีขนาดกระทัดรัดเหมือนวิทยุfmที่เราติดในรถและใช้ไฟ12โวลต์จึงมีผู้นำไปดัดแปลงโดยต่อกับแหล่งจ่ายไฟกระแสตรง12โวลต์และนำไปใช้งานแทนวิทยุสื่อสารประเภทติดตั้งประจำที่ซึ่งมีราคาสูงกว่ามากใด้
คลื่น CB (วิทยุเครื่องสีแดง) คือ คลื่นความถี่ประชาชน ความถี่ 245 MHz 80 channel ไม่จำเป็นต้องผ่านการสอบเพื่อเป็นพนักงานวิทยุสามารถขออกใบอนุญาตใช้เครื่องวิทยุได้ทันทีผู้ใช้ ได้แก่ประชาชนทั่วไป รปภ. งานก่อสร้าง อาสาสมัครบางหน่วยงานเช่น มีนบุรี พระรามเก้า เป็นต้น การสื่อสารใช้คำทั่วไปและ ว. Code
คลื่น HAM (วิทยุสีดำ) เป็นคำแสลง หมายถึงนักวิทยุสมัครเล่น อยู่ในระดับความถี่ 144-146 MHz ต้องผ่านการอบรมและสอบจึงจะสามารถ ออกใบอนุญาตใช้เครื่องวิทยุได้ นักวิทยุสมัครเล่นจะใช่นามเรียกขานและรหัสสื่อสารที่เป็นสากล ได้แก่ Q-Code
ราชการ เป็นความถี่พิเศษ เช่นตำรวจ ทหาร หน่วยงานราชการต่างๆ ต้องเป็นผู้ที่มีนาจเกี่ยวข้องเท่านั้นจึงจะสามารถมีใช้เครื่องวิทยุระดับความถี่นี้
คลื่นความถี่ที่ใช้งาน
1คลิ่นความถี่ราชการน่าจะอยู่ที่ประมาณ150.000 ถึง160.000 โดยประมาณซึ่งทางกรมไปรษณีย์จะออกให้หน่วยงานราชการแบ่งใช้กันโดยที่ทางหน่วยงานนั้นๆจะจัดให้เจ้าพนักงานในหน่วยใด้แบ่งใช้ต่อไปตามความจำเป็นเช่นทางกรมฯใดจัดสรรคลื่นให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติใช้ ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็จัดแบ่งคลื่นให้ตำรวจหน่วยต่างๆใด้ใช้งานซึ่งเราจะเห็นว่ามีมากมายหลายความถี่ ซึ่งคลื่นความถี่ราชการนั้นประชาชนทั่วไปไม่มีสิทธ์ที่จะใช้งานนอกจากผู้ที่ใด้รับอนุญาติเป็นกรณีพิเศษเช่นเจ้าพนักงานตำรวจชุมชน(ตชต)หรือผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงานต่างๆ นอกจากนี้ยังมีคลื่นความถี่ที่หน่วยงานราชการอื่นๆใด้รับอนุญาติให้ใช้กันยังมีอีกมากมายหลายหน่วยเช่นทหาร สาธารณสุข กรมการปกครองและอื่นๆ
2 คลื่นความถี่วิทยุสมัครเล่นคือคลื่นความถี่144.000-146.000ที่ทางกรมไปรษณีย์อนุญาติให้ประชาชนที่สอบผ่านและใด้รับใบอนุญาตินักวิทยุสมัครเล่นตามข้อบังคับแล้วนั้นใด้ใช้งานวิทยุสื่อสารตามความถี่ที่ใด้รับอนุญาติคือ144.000-146.000เท่านั้นหรือที่เรามักเรียกกันสั้นๆว่าพวก วีอาร์
3 คลื่นความถี่ย่านประชาชน คือคลื่นความถี่49.000/78.000/245.000/420.000แต่ที่เป็นที่นิยมกันในปัจจุบันคือ245.000ซึ่งเครื่องประเภทนี้จะมีสีแดงตามกฎข้อบังคับของกรมฯที่จะบังคับให้เครื่องประเภทนี้ต้องมีสีแดงเท่านั้นแต่ในบางประเภทอาจจะมีเครื่องสีเหลืองซึ่งก้อคือเครื่องประเภทความถี่78และ49ครับย่านความถี่ประเภทนี้ใครจะใช้งานก็ใด้ขอเพียงมีเงินซื้อเครื่องเท่านั้นซึ่งทางกรมฯจะออกใบอนุญาติให้ใช้ติดมากับเครื่องเลยเรามักจะเห็นใช้งานในงานประเภทรปภ หรืองานเครนและการท่องเที่ยวต่างๆ
วิทยุสื่อสาร
วิทยุสื่อสารหรือเรียกอีกชื่อว่า วิทยุคมนาคม เป็นอุปกรณ์ที่แปลงกระแสไฟฟ้า เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ประกอบเป็น ภาครับ และภาคส่ง แผ่กระจายคลื่นวิทยุออกทางสายอากาศ เป็นเครื่องมือในสื่อสารชนิดกึ่งสองทาง ถูกนำมาใช้งานในหลายประเภท เช่น วิทยุราชการ วิทยุสมัครเล่น วิทยุภาคประชาชน เป็นต้น
ส่วนประกอบวิทยุสื่อสาร
ส่วนประกอบของวิทยุสื่อสารแบ่งออกได้เป็น 3ส่วนหลักๆ คือ
ตัวเครื่อง
ตัวเครื่องของวิทยุสื่อสารจะเป็นส่วนที่ประกอบไปด้วยแผงวงจรและอุปกรณ์ต่างๆที่เครื่องวิทยุสื่อสารแต่ละรุ่นถูกออกแบบมา
แหล่งพลังงาน
แหล่งพลังงานคือตัวจ่ายกระแสไฟฟ้า ซึ่งเป็นส่วนที่จะป้อนพลังงานให้กับตัวเครื่องให้เครื่องวิทยุสื่อสารสามารถ ทำงานได้ ซึ่งจะมีทั้งแบบแหล่งพลังงานแบบแบตเตอรี่แพค(battery pack) และแบบไฟฟ้ากระแสตรง(DC volts)
สายอากาศ
เป็นส่วนที่ทำหน้าที่รับสัญญาณวิทยุ ที่อยู่ในรูปแบบคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเข้ามาในตัวเครื่องเพื่อผ่านการแปลงเป็นกระแสไฟฟ้า และในทางกลับกันสายอากาศ จะทำหน้าที่แพร่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ที่ผ่านการแปลงจากกระแสไฟฟ้ามาเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ส่งออกไปยังเครื่องรับสัญญาณวิทยุปลายทางคลื่นวิทยุเกิดจากการเคลื่อนที่ของกระแสไฟฟ้าที่อยู่ในสายอากาศ แล้วแผ่กระจายไปในอากาศ (ลักษณะเดียวกับคลื่นในน้ำ) เป็นลูกคลื่น มียอดคลื่นและท้องคลื่น การเคลื่อนตัวหนึ่งรอบคลื่น หมายถึง จากผิวน้ำ-ขึ้นไปถึงยอดคลื่น-ตกลงที่ท้องคลื่น-และกลับขึ้นมาเสมอผิวน้ำ ความถี่ของคลื่นวิทยุมีหน่วยต่อวินาที (CPS : Cycle Per Second) เพื่อให้เกียรติแด่ผู้ค้นพบจึงเรียก "หน่วยต่อวินาที" ว่า "เฮิรตซ์" (Hz)
คลื่นวิทยุ
คลื่นวิทยุ คือ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ค้นพบโดยเจมส์แมกซ์เวลล์ (James c. Maxwell) เมื่อราวปี ค.ศ.1864 ต่อมา ไฮริชเฮิรตซ์ (Heinrich Hertz) ทดลองพิสูจน์ว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นพลังงานที่ใช้ได้จริง ในปี ค.ศ.1887 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามีความเร็ว 300,000,000 เมตร/วินาที หรือเท่ากับความเร็วแสง
หลักปฏิบัติในการติดต่อสื่อสาร
การเตรียมการก่อนการเรียกขาน
1. ต้องจดบันทึกหรือเตรียมข้อความที่จะพูดไว้ก่อน เพื่อความรวดเร็ว การทวงถามถูกต้อง และเป็นหลักฐานในการติดต่อของสถานีตนเองอีกด้วย
2. ข้อความที่จะพูดทางวิทยุ ต้องสั้น กะทัดรัด ชัดเจน และได้ใจความ
3. ก่อนพูดต้องฟังก่อนว่าข่ายสื่อสารนั้นว่างหรือไม่ เพื่อจะได้ไม่เกิดการรบกวนการทำงานของสถานีอื่น โดยต้องใช้นามเรียกขานที่กำหนดให้เท่านั้น
4. ตรวจสอบนามเรียกขานของหน่วยงานหรือบุคคลที่จะต้องทำการติดต่อสื่อสารก่อน
5. การเรียกขานหรือการตอบการเรียก ต้องปฏิบัติตามระเบียบปฏิบัติของข่ายสื่อสารการเรียกขาน
การเรียกขานต้องครบองค์ประกอบ ดังนี้
- “นามเรียกขาน” ของสถานี, บุคคลฯ ที่ถูกเรียก
- “จาก”
- “นามเรียกขาน” ของสถานี, บุคคลฯ ที่เรียก
- “เปลี่ยน”
การตอบรับการเรียกขาน
การตอบในการเรียกขาน ครั้งแรกต้องตอบแบบเต็ม ซึ่งประกอบด้วย
ก. “นามเรียกขาน” ของสถานี, บุคคลฯ ที่เรียก
ข. “จาก”
ค. “นามเรียกขาน” ของสถานี, บุคคลฯ ที่ถูกเรียก
ง. “เปลี่ยน”
*ตัวอย่างที่ 1
(ศูนย์ฯ เรียก) เขตป้อมปราบ 401 จาก อุบัติภัย เปลี่ยน
ลูกข่ายตอบ) อุบัติภัย จาก เขตป้อมปราบ 401 เปลี่ยน หรือ
(ลูกข่ายตอบ) จาก เขตป้อมปราบ 401 ว.2 เปลี่ยน (ตอบอย่างย่อ) หรือ
(ลูกข่ายตอบ) เขตป้อมปราบ 401 ว.2 เปลี่ยน (ตอบอย่างย่อ)
*ตัวอย่างที่ 2
(ศูนย์ฯ เรียก) เขตป้อมปราบ 44 จาก เขตป้อมปราบ 401 เปลี่ยน
(ลูกข่ายตอบ) เขตป้อมปราบ 401 จาก เขตป้อมปราบ 44 เปลี่ยน หรือ
(ลูกข่ายตอบ) จาก เขตป้อมปราบ 44 ว.2 เปลี่ยน (ตอบอย่างย่อ) หรือ
(ลูกข่ายตอบ) เขตป้อมปราบ 44 ว.2 เปลี่ยน
ขั้นตอนการติดต่อสื่อสาร
1. การติดต่อสื่อสารโดยทั่วไปเรียกศูนย์ฯ ที่สังกัด
- การเรียกขาน / การตอบ
- ใช้นามเรียกขานที่กำหนด
2. แจ้งข้อความ / วัตถุประสงค์ / ความต้องการ
- สั้น กะทัดรัด ชัดเจน ได้ใจความ
- ใช้ประมวลสัญญาณ ว. ที่กำหนด
3. จบข้อความลงท้ายคำว่าเปลี่ยน
การรับ / แจ้งเหตุฉุกเฉิน
1. เมื่อพบเหตุหรือต้องการความช่วยเหลือให้แจ้งศูนย์ฯ ที่สังกัดหรือสัญญาณ ที่สามารถติดต่อสื่อสารได้
2. เตรียมรายละเอียด (ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร) ของเหตุเพื่อจะได้แจ้งได้ทันที
3. เมื่อแจ้งเหตุแล้วควรเปิดเครื่องรับ – ส่งวิทยุให้พร้อมไว้เพื่อจะได้ฟังการติดต่อประสานงาน รายละเอียดเพิ่มเติม
4. เมื่อแจ้งเหตุแล้วควรรายงานผลคืบหน้าในการประสานงานเป็นระยะ
5. เมื่อมีผู้แจ้งเหตุแล้วไม่ควรสอดแทรกเข้าไป ควรฟังอย่างสงบเพื่อมิให้เกิดการรบกวนและความสับสน
มารยาทและข้อห้ามการใช้วิทยุสื่อสาร
1. ไม่ติดต่อกับสถานีที่ใช้นามเรียกขานไม่ถูกต้อง
2. ไม่ส่งข่าวสารที่เกี่ยวกับข่าวทางธุรกิจการค้า
3. ไม่ใช้ถ้อยคำที่ไม่สุภาพ หรือหยาบคายในการติดต่อสื่อสาร
4. ไม่แสดงอารมณ์โกรธในการติดต่อสื่อสาร
5. ห้ามการรับส่งข่าวสารอันมีเนื้อหาละเมิดต่อกฎหมายบ้านเมือง
6. ไม่ส่งเสียงดนตรี รายการบันเทิง และการโฆษณาทุกประเภท
7. ให้โอกาสสถานีที่มีข่าวสำคัญ เร่งด่วน ข่าวฉุกเฉิน ส่งข่าวก่อน
8. ยินยอมให้ผู้อื่นใช้เครื่องวิทยุคมนาคม
9. ห้ามติดต่อสื่อสารในขณะมึนเมาสุราหรือควบคุมสติไม่ได้
10. ในกรณีที่มีเรื่องเร่งด่วนต้องการส่งแทรกหรือขัดจังหวะการส่งข่าวควรรอจังหวะที่คู่สถานีจบข้อความที่สำคัญก่อนแล้วจึงส่ง
การใช้และการบำรุงรักษาเครื่องวิทยุคมนาคม
เครื่องรับ– ส่งวิทยุคมนาคม
1. การใช้เครื่องวิทยุคมนาคมชนิดมือถือไม่ควรอยู่ใต้สายไฟฟ้าแรงสูง ต้นไม้ใหญ่ สะพานเหล็ก หรือสิ่งกำบังอย่างอื่นที่เป็นอุปสรรคในการใช้ความถี่วิทยุ
2. ก่อนใช้เครื่องวิทยุคมนาคมให้ตรวจดูว่าสายอากาศ หรือสายนำสัญญาณต่อเข้ากับขั้วสายอากาศเรียบร้อยหรือไม่
3. ขณะส่งออกอากาศไม่ควรเพิ่มหรือลดกำลังส่ง (HI – LOW)
4. ในการส่งข้อความ หรือพูดแต่ละครั้งอย่ากดสวิทซ์ (PTT) ไม่ควรส่งนานเกินไป (เกินกว่า 30 วินาที)
แบตเตอรี่
1. แบตเตอรี่ใหม่ให้ทำการประจุกระแสไฟฟ้าครั้งแรกนานประมาณ 16 ชั่วโมง ก่อนการนำไปใช้งาน และครบ 16 ชั่วโมงแล้ว ให้นำแบตเตอรี่ออกจากเครื่องประจุแบตเตอรี่จนกว่าแบตเตอรี่จะเย็น จึงจะนำแบตเตอรี่ไปใช้งานได้
2. แบตเตอรี่ (NICKEL CADMIUM) ต้องใช้งานให้หมดกระแสไฟฟ้าจึงจะนำไปประจุกระแสไฟฟ้าได้
3. การประจุกระแสไฟฟ้าหลังจากกระแสไฟฟ้า ตามข้อ 2 หมดแล้ว ให้นำไปทำการประจุกระแสไฟฟ้าใหม่ตามระยะเวลาใช้งานแบตเตอรี่
4. ถ้าแบตเตอรี่ใช้งานไม่หมดกระแสไฟฟ้า ไม่ควร ทำการประจุกระแสไฟฟ้าเนื่องจากจะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพเร็วกว่ากำหนด (NICKEL CADMIUM)
5. ถ้าแบตเตอรี่สกปรกทั้งที่ตัวเครื่องรับ – ส่ง และขั้วแบตเตอรี่ให้ทำความสะอาดโดยใช้ยางลบสำหรับลบหมึกทำความสะอาด
สายอากาศ
1. ความยาวของสายอากาศจะต้องสัมพันธ์กับความถี่วิทยุที่ใช้งาน
2. สายอากาศชนิดชัก ต้องชักสายอากาศให้สุดในขณะใช้งาน และเก็บทีละท่อน
การพกพาเครื่องวิทยุคมนาคม
1. วิทยุสื่อสารให้ใช้ได้เฉพาะพื้นที่ที่ได้รับอนุญาต
2. การพกพาเครื่องวิทยุชนิดมือถือ ต้องนำใบอนุญาตติดตัวไปด้วย หรือถ่ายสำเนาและมีการรับรองสำเนาด้วย
3. การพกพาเครื่องวิทยุชนิดมือถือเข้าไปในสถานที่ต่าง ๆ ควรพิจารณาถึงสภาพของสถานที่ด้วยว่าควรปฏิบัติอย่างไร เช่น ในห้องประชุม ในร้านอาหาร ถ้าจำเป็นควร
ใช้หูฟัง
4. ขณะพกพาวิทยุควรแต่งกายให้เรียบร้อย และมิดชิดโดยสุภาพ
5. ในกรณีที่มีเจ้าหน้าที่ขอตรวจสอบ ควรให้ความร่วมมือ โดยสุภาพ
ประโยชน์ของการใช้วิทยุสื่อสาร มีดังนี้
- บุคคลทั่วไปสามารถซื้อหามาใช้ได้ และไม่มีค่าใช้จ่ายรายเดือน
- ไม่พลาดการติดต่อสื่อสารทำให้การติดต่อสื่อสารเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
- เหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการจำกัดพื้นที่ เช่น ภายในบริเวณพื้นที่ก่อสร้าง ท่าเรือ ขนส่ง
โรงงานอุตสาหกรรม งานรักษาความปลอดภัย งานประกันภัย เกษตรกรรม การท่าอากาศยาน โรงแรม โรงพยาบาล โรงภาพยนตร์ ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว เป็นต้น
- ใช้เป็นอุปกรณ์สื่อสารแทนอุปกรณ์สื่อสารที่ไม่สามารถติดต่อได้ในพื้นที่ ที่จำกัด
- ไม่จำกัดระยะเวลาการติดต่อสื่อสาร
- สามารถติดตั้งในรถยนต์ได้ โดยใช้สายอากาศเพิ่มเติม เพิ่มขีดความสามารถในการรับส่ง ได้หลายสิบกิโลเมตร
- สามารถติดต่อระหว่างตัวเครื่อง / เครื่อง ได้ระยะ 5 - 100 กิโลเมตร (ขึ้นอยู่กับประเภทของ เครื่อง)
- ระยะเวลาในการใช้งานสามารถแสตนบายแบตเตอรี่ได้ 1 - 2 วัน
- มีช่องใช้งานหลัก 80 ช่องใหญ่ และมีช่องย่อยมากกว่า 4,000 ช่อง
คลื่นวิทยุ: สายอากาศ 1. ตัวนำโลหะ ซึ่งมักจะเป็นแบบใดแบบหนึ่งของความยาวลวดหรือท่อกลวง ตัวนำ ที่จะใช้สำหรับสายอากาศจะต้องให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านตัวนำนั้นได้ 2. สายอากาศของเครื่องส่ง กระแสไฟฟ้าจะสร้างคลื่นวิทยุแม่เหล็กไฟฟ้า คลื่นนี้จะประกอบไปด้วยสนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็ก ซึ่งเคลื่อนที่ไปในอากาศจากสายอากาศ 3. สายอากาศของเครื่องรับคลื่นวิทยุจะเหนี่ยวนำให้เกิดกระแสไฟฟ้า ในสายอากาศ ซึ่งกระแสไฟฟ้านี้จะเป็นสัญญาณเข้าของเครื่องรับ 4. วิทยุ ความถี่ประชาชน (CB) ต่างก็ใช้สายอากาศสำหรับรับ – ส่งเหมือนกัน 5. สายนำสัญญาณ จะต่อกับสายอากาศ ภายในสายนำสัญญาณจะประกอบด้วยตัวนำลวดคู่ วางใน ช่องว่างระหว่างกันคงที่ หน้าที่ของสายนำสัญญาณคือ การนำกระแสไฟฟ้าโดยปราศจากการแผ่คลื่น แม่เหล็กไฟฟ้า
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับวิทยุกระจายเสียง
กรมประชาสัมพันธ์ เป็นหน่วยงานในสังกัดสานักนายกรัฐมนตรีมีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงด้านการประชาสัมพันธ์ของรัฐเพื่อการพัฒนาทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม วัฒนธรรมและความมั่นคงของรัฐ โดยนานโยบายด้านต่างๆ จากหน่วยงานภาครัฐ รัฐบาล และภาคเอกชน เผยแพร่ผ่านสื่อวิทยุกระจายเสียงวิทยุโทรทัศน์และสื่ออื่นๆ สู่ประชาชนทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนนาข้อคิดเห็นของประชาชนสู่ภาครัฐ เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจ อันจะนามาซึ่งความร่วมมือและสนับสนุนการดาเนินงานด้านต่างๆ ของรัฐให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามเป้าหมายที่กาหนดไว้นามาซึ่งความเจริญและความมั่นคงของประเทศโดยรวม
สื่อวิทยุกระจายเสียงเป็นสื่อที่สามารถเข้าถึงประชาชนได้รวดเร็ว ทันต่อเหตุการณ์ไม่จากัดเวลา
สถานที่ และประชาชนให้ความเชื่อถือในข้อมูลข่าวสารและสามารถตอบสนองการประชาสัมพันธ์ของรัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างทั่วถึง ไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่ห่างไกล ทุรกันดาร หรือในชนบท สื่อวิทยุกระจายเสียงสามารถเข้าถึงประชาชนส่วนใหญ่ได้ดีกว่าสื่อชนิดอื่นเพราะเครื่องรับวิทยุมีราคาถูก แม้ไม่มีกระแสไฟฟ้าก็สามารถรับฟังวิทยุได้จากเครื่องรับวิทยุทรานซิสเตอร์ ซึ่งประหยัดและสะดวกต่อการรับฟังข้อมูลข่าวสาร ได้เป็นอย่างดี
ห้องส่งวิทยุ เครื่องส่ง เสาอากาศ
ภาพการทางานโดยรวมของการรับส่งวิทยุ
คลื่นวิทยุกับสัญญาณไฟฟ้ามีความแตกต่างกัน คือ ค่าความถี่ของสัญญาณไฟฟ้า AC มีความถี่ 50 Hz หรือ 60 Hz ส่วนคลื่นวิทยุจะมีค่าความถี่เป็นกิโลเฮิรตซ์ (KHz) เมกกะเฮิรตซ์ (MHz) หรือ จิกะเฮิรตซ์ (GHz) ซึ่งสูงมากแต่ความเหมือนระหว่างสัญญาณไฟฟ้ากับคลื่นวิทยุก็คือ ต่างก็เป็นไฟ AC พลังงานคลื่นวิทยุที่ส่งผ่านสายอากาศจากเครื่องส่งไปยังเครื่องรับก็เป็นสัญญาณไฟ AC เช่นกัน แต่ความถี่จะสูงมาก เช่น คลื่นวิทยุมีความถี่ 27 MHz มีพลังงานสูงเพียงพอที่จะส่งคลื่นให้เดินทางผ่านอากาศไปยังเครื่องรับที่อยู่ไกลๆ หลายร้อยกิโลเมตรได้
ความถี่เสียง ( AF: Audio Frequency ) และ ความถี่วิทยุ
มนุษย์สามารถรับฟังคลื่นความถี่เสียงได้ในช่วง 2 Hz ถึง 20,000 Hz (20 KHz) ความถี่ในช่วงดังกล่าวจึงเรียกว่าเป็นความถี่ออดิโอหรือ AF (Audio Frequency) เสียงทุกแบบไม่ว่าจะเป็นเสียงดนตรี เสียงพูด ที่เราได้ยิน จึงถูกจัดเป็นคลื่น AF ทั้งหมด ส่วนสัญญาณไฟฟ้าที่มีความถี่สูงเกินกว่า 20 KHz ขึ้นไป หูของมนุษย์ ไม่สามารถรับฟังได้เรียกว่าคลื่น RF ( RF : Radio Frequency ) คุณสมบัติของคลื่น RF จะแตกต่างจากคลื่น AF ที่สามารถรับฟังเสียงผ่านลาโพงได้ แต่ไม่สามารถส่งสัญญาณผ่านเครื่องส่งวิทยุไปในพื้นที่เขตบริการได้ แต่คลื่น RF สามารถทาได้ ดังนั้น การส่งสัญญาณวิทยุกระจายเสียงที่มนุษย์สามารถรับฟังได้ก็เกิดจากการส่งคลื่น RF นั่นเอง
การส่งสัญญาณวิทยุกระจายเสียงแบ่งได้ 2 ระบบ คือ ระบบ AM และ ระบบ FM ซึ่งเป็นระบบ Analog และในปัจจุบันมีการพัฒนาการส่งวิทยุกระจายเสียงใน ระบบ Digital
การส่งสัญญาณวิทยุกระจายเสียง ระบบ AM (Amplitude Modulation)
AM ย่อมาจาก Amplitude Modulation ซึ่งเป็นการสื่อสารโดยการส่งสัญญาณที่เกิดจากการผสมคลื่นเสียงเข้ากับคลื่นพาห์โดยสัญญาณเสียงจะบังคับให้แอมปลิจูดของคลื่นพาห์เปลี่ยนแปลงไปโดยคลื่นพาห์ยังมีความถี่เท่าเดิมช่วงความถี่ของสัญญาณ AM นั้น จะอยู่ที่ 535 kHz ถึง 1705 kHz แต่ละสถานีส่งมีความถี่ ที่ต่างกันทุก 9 กิโลเฮิรตซ์ สาหรับโซนเอเซีย จะมีสถานีส่งได้ 117 ช่อง
ระบบ AM ซึ่งแบ่งตามความถี่วิทยุที่ให้บริการออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่
1. ความถี่วิทยุย่านความถี่กลาง (Medium Frequency : MF หรือ MW) อยู่ในย่านความถี่ประมาณ 550 -1600 KHz เรียกว่า “ คลื่นยาว “ กระจายเสียงโดยอาศัยคลื่นดินได้ไกลประมาณ 100 กิโลเมตรถ้าระยะไกลกว่านี้จะต้องรับฟังด้วยคลื่นฟ้า (sky wave)
2. ความถี่วิทยุย่านความถี่สูง (High Frequency : HF หรือ SW) อยู่ในย่านความถี่ประมาณ 3 -12 MHz เรียกว่า “คลื่นสั้น “ รับสัญญาณจากคลื่นดินในระยะประมาณ 15 กิโลเมตร เท่านั้น แต่รับสัญญาณจากคลื่นฟ้าได้ไกลนับพันกิโลเมตร
หลักการทางานของเครื่องส่งวิทยุ ระบบ AM
การส่งสัญญาณวิทยุกระจายเสียง จะมีเครื่องส่งเป็นตัวส่งสัญญาณเสียงผ่านสายอากาศซึ่งจะรับสัญญาณวิทยุกระจายเสียงผ่านทางเครื่องรับวิทยุกระจายเสียง โดยเสียงพูด เสียงดนตรี หรือคลื่น AF (Mixer) จะถูกส่งเข้ามารวมกับสัญญาณ RF โดยใช้วงจรอิเล็กทรอนิกส์ สัญญาณคลื่น RF จะผลิตคลื่นจากวงจร ออสซิลเลเตอร์ เมื่อได้คลื่น RF แล้วก็จะเอาคลื่นทั้งสองนี้มารวมกัน (Mixer) ซึ่งเรียกว่า การมอดูเลท
สาเหตุที่ต้องเอาคลื่นที่มีความถี่สูงมามอดูเลทเข้าไปก็เพื่อที่จะให้คลื่นความถี่สูงนี้เป็นพาหะหรือแคเรียร์ (Carrier) พาคลื่นความถี่ต่าไปได้ระยะทางไกลขึ้น เมื่อรวมสัญญาณเสร็จแล้วก็จะส่งออกผ่านสายอากาศส่งออกไปในบรรยากาศได้
ANTENNA
Signal Carrier Amplitude Modulation
Modulating Signal
บล็อกไดอะแกรมเครื่องส่งวิทยุ AM
การส่งสัญญาณวิทยุกระจายเสียง ระบบ FM (Frequency Modulation)
HF
Oscillator
HF
Amplifier
Power
Amplifier
Modulator
LF Signal Source
LF Amplifier
FM ย่อมาจาก Frequency Modulation การส่งนั้นจะคล้ายๆ กับ AM คือจะส่งสัญญาณเสียงไปกับคลื่นพาห์แต่จะต่างกันตรงที่ระบบ FM จะผสมสัญญาณเสียงกับคลื่นพาห์ โดยให้ความถี่ของคลื่นพาห์เปลี่ยนแปลงตามสัญญาณเสียงโดยที่แอมปลิจูดไม่เปลี่ยนแปลง การส่งวิทยุระบบ FM จะมีค่าความถี่สูงกว่าการส่งในระบบ AM โดยจะมีช่วงความถี่ที่ 88 -108 เมกะเฮิรตซ์ แต่ละสถานีส่งมีความถี่ต่างกันทุก 200 กิโลเฮิรตซ์ ซึ่งหมายถึงว่าสามารถมีช่องต่างกันถึง 200 สถานีตามทฤษฏี
ระบบ FM ให้บริการโดยการใช้คลื่นความถี่วิทยุย่านความถี่สูงมาก ( Very High Frequency : VHF ) อยู่ในย่านความถี่ประมาณ 88 - 108 MHz คลื่นจะกระจายตรงออกไปไม่โค้งตามผิวโลก จึงทาให้รับสัญญาณ ได้ไม่เกิน 80 กิโลเมตร ถ้าอยู่ไกลๆ ต้องติดตั้งเสาอากาศรับสัญญาณ
รูปคลื่นที่ส่งแบบ AM และ FM
ANTENA
I/P RF
หลักการทางานของเครื่องส่งวิทยุ FM
หลักการทางาน คือ สัญญาณเสียงจากไมโครโฟนหรือแหล่งเสียงอื่นๆ จะถูกเปลี่ยนเป็นสัญญาณไฟฟ้าเข้าสู่ภาค Audio Amplifier เพื่อขยายกาลังของสัญญาณเสียง และส่งต่อไปยังภาคของ Modulation โดยสัญญาณที่จะนามา Modulation ด้วยนั้น คือ สัญญาณจากตัว Oscillator ซึ่งจะผลิตความถี่ได้ในช่วงความถี่ 88 -108 MHz โดยจะต้องมีการเลือกสร้างคลื่นที่ความถี่ใดความถี่หนึ่งในช่วงความถี่ดังกล่าว เพื่อใช้เป็นคลื่นนาพา โดยหลักการ Modulation ของ FM คือ จะนาคลื่นนาพาที่ได้มาปรับความถี่ ตามแอมปลิจูดและความถี่ของคลื่นเสียงโดยที่เฟสและแอมปลิจูดของคลื่นนาพายังคงที่ จะเปลี่ยนแปลงเฉพาะความถี่เท่านั้น สัญญาณที่
Audio Amplifier
Oscillator
RF Amplifier
Modulation
ได้จากการ Modulation (เรียกว่าสัญญาณ RF) จะถูกนาไปขยายสัญญาณความถี่วิทยุให้แรงขึ้น เพื่อที่จะให้เพียงพอต่อการส่งสัญญาณไปในอากาศ จากนั้นจึงส่งออกไปทางเสาอากาศ
การ Modulation
หลักการ Modulation คือ ความถี่ของคลื่น RF ที่ได้จะแปรผันไปตามความถี่และแอมปลิจูด ของคลื่นเสียง เช่น ถ้ามีคลื่นนาพาที่มีความถี่ 100kHz นามา Modulation กับคลื่นเสียงที่มีความถี่อยู่ที่ 40 Hz คลื่น RF ที่ได้หลังการ Modulation ก็จะมีลักษณะของความถี่ที่เปลี่ยนไปตามค่าแรงดัน (แอมปลิจูด) ถ้าแอมปลิจูดเป็นบวกความถี่ของ RF ก็จะมีค่าสูงขึ้น ในซีกบวกของแอมปลิจูดของคลื่นเสียงจึงก่อให้เกิดความถี่ของ RF ในช่วงตั้งแต่ 100 ถึง 100 + 0.04 kHz ในทางกลับกัน ถ้าหากแอมปลิจูดเป็นลบ ความถี่ของ RF ก็จะมีค่าต่าลง ในซีกลบของแอมปลิจูดของคลื่นเสียงจึงก่อให้เกิดความถี่ของ RF ในช่วงตั้งแต่ 100 - 0.04 ถึง 100 kHz กรณีแอมปลิจูดเป็นศูนย์ความถี่ของ RF จะมีค่าเท่าเดิมเพราะฉะนั้นช่วงห่างความถี่รวมของคลื่น RF รวมนี้ก็จะมีค่า ตั้งแต่ 99.96 ถึง 100.04 kHz ดังรูปด้านล่าง
โดยหากในส่วนของแอมปลิจูดของคลื่นเสียงนี้มีค่าสูงขึ้น ก็จะทาให้ช่วงห่างของความถี่ของ RF
มีค่าเปลี่ยนไปด้วย เช่น จากตัวอย่างที่แล้วคลื่นเสียงที่มีความถี่เป็น 40 Hz แต่เมื่อมีแอมปลิจูดที่สูงขึ้นก็จะทาให้ช่วงห่างของความถี่ยาวขึ้นก็คือทาให้ช่วงห่างของความถี่ของ RF ที่เกิดขึ้นก็จะเท่ากับ 99.92-100.08 kHz ดังรูปด้านล่าง
(ในทางกลับกันถ้าแอมปลิจูดของคลื่นเสียงที่ความถี่ 40 Hz ต่าลงก็อาจทาให้ช่วงห่างของความถี่แคบเข้า เช่น อาจเหลือความถี่เป็นช่วงแค่ 99.99 ถึง 100.01 ก็ได้)
Sideband
Sideband คือ กลุ่มของย่านความถี่ที่ใกล้เคียงกับความถี่ของคลื่นนาพาห์ ซึ่งเป็นผลจากการ Modulation สัญญาณ เช่น เมื่อนาคลื่นพาห์ที่ความถี่ 100 kHz มาผสมกับคลื่นเสียงที่มีความถี่ 40 Hz เมื่อทาการ Modulation แล้วจะมี Sideband ที่ 100.04 kHz - 99.06k Hz ซึ่งจานวนที่อยู่ระหว่างความถี่นี้จะมีจานวนไม่จากัด Spectrum ที่เห็นจึงเป็นตัวแทนของความถี่บริเวณใกล้เคียง ในความเป็นจริงนั้น Spectrum ที่อยู่ไกลจากความถี่คลื่นนาพาห์จะมีค่าพลังงานและความสาคัญที่น้อยมากจนแทบไม่มีผลในการวิเคราะห์
การ Modulation สัญญาณคลื่นเสียงกับคลื่นนาพานั้น จะได้ผลลัพธ์เป็นสัญญาณที่มีความถี่ใกล้เคียงกับค่าความถี่เฉพาะที่สถานีนั้นครอบครองอยู่ เช่น สถานีหนึ่งส่งกระจายเสียงที่ความถี่ 100MHz จะมีแบนด์วิธ ที่ครอบคลุม Sideband สัญญาณที่ส่งออกไป โดย FCC ได้กาหนดไว้ว่าการส่งวิทยุ FM นั้นมี Bandwidthได้สูงสุด 150kHz ดังรูปด้านกรอบบน แต่เพื่อไม่ให้มีการชนกันของคลื่นที่มีความถี่ใกล้เคียงกันจึงมีการเพิ่มส่วนกันชนกันของคลื่นทาให้ในหนึ่งคลื่นจะมีความถี่รวมกับส่วนกันชนแล้ว 200 kHz ดังรูปที่กรอบด้านล่าง คือ การจาลองสถานีที่มีการกระจายเสียงย่านความถี่ใกล้กัน จะเห็นว่าสัญญาณที่ทั้งสองส่งมาจะไม่ทับซ้อนกัน เนื่องจากช่องว่างระหว่างแบนด์วิธของทั้งสองสถานีจะถูกละเอาไว้เพื่อใช้แบ่งแยกกันระหว่างสถานีช่องสัญญาณการส่งสัญญาณ FM นั้นในแต่ละสถานีจะใช้ Bandwidth 200 kHz ซึ่ง Bandwidth ที่ใช้ในการส่งสัญญาณจริงๆ นั้น คือ 150 kHz แต่จะมีช่องว่างภายในแบนด์วิธในช่วงที่เหลือ คือ ที่ความถี่ +25 kHz และ -25 kHz เช่น ถ้าส่งที่ความถี่ 100 MHz จะใช้คลื่นความถี่ในช่วง 99.925 -100.075 MHz ในการส่งข้อมูลสัญญาณ
และเว้นเป็นช่องว่างกันชนในช่วง 99.900 - 99.925 และ 100.075 - 100.100 รวมเป็น 200 kHz เพื่อให้การส่งสัญญาณออกอากาศทาได้พร้อมๆ กันหลายสถานี แม้จะมีสถานีอยู่ใกล้ๆ กันในคลื่นวิทยุภายในหนึ่งช่วงเวลาจึงนาพาข้อมูล (Carry information) ของแต่ละสถานีที่ออกอากาศได้พร้อมๆ กัน ซึ่งไม่เป็นปัญหาเมื่อผู้ฟังต้องการฟังเฉพาะบางรายการ ส่วนวิธีการที่ทาให้สามารถเลือกรับฟังได้นั้น อยู่ที่หัวข้อต่อไป ในการส่งวิทยุ FM นั้นจะอยู่ในความถี่ช่วง 88-108 MHz ซึ่งมี Bandwidth รวม 20 MHz ดังนั้นจะมีสถานีวิทยุที่ส่งได้โดยไม่รบกวนกัน คือ
20 MHz/200 kHz หรือประมาณ 100 สถานี ซึ่งในปัจจุบันนี้ในเมืองไทยโดยเฉพาะในกรุงเทพมีการใช้ Bandwidth ของ FM ค่อนข้างเต็มแล้ว คือ มีคลื่นวิทยุตั้งแต่ 88.00, 88.25, 88.5, 88.75, 90.00 ไล่ไปเรื่อยๆ ซึ่งมีประมาณ 80 สถานี ซึ่งถ้าจะให้มีสถานีเพิ่มขึ้นอีกให้ครบ 100 สถานีคงจะไม่ได้เพราะในทางปฏิบัติจริงอาจมีการใช้ Bandwidth ที่เกินไปบ้าง จะเห็นได้จากแม้ในกรุงเทพจะมีสถานีแค่ 80 สถานี ก็เกิดการรบกวนกัน เหตุผลที่มี Bandwidth เกินอาจเนื่องจากอุปกรณ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน เช่น สถานีวิทยุชุมชนมักใช้เครื่องส่งราคาถูกที่ไม่มีคุณภาพทาให้มีการฟุ้งกระจายของคลื่น คือใช้ Bandwidth ที่สูงเกินไปทาให้มีความถี่บางส่วนถูกส่งไปในย่านของความถี่ของสถานีอื่นทาให้เกิดการกวนกับสัญญาณในคลื่นหลักอื่นๆ ได้
จะเห็นว่าการส่งวิทยุกระจายเสียงระบบ AM และ ระบบ FM เป็นการนาเอาสัญญาณเสียงจากแหล่งต่างๆ ในห้องส่งกระจายเสียง เช่น ไมโครโฟน เทปคาสเสท จากแผ่นเสียงหรือแผ่นซีดี มารวมกับคลื่นวิทยุหรือสัญญาณวิทยุ ในอุปกรณ์เครื่องส่ง เพื่อให้คลื่นวิทยุเป็นตัวพาห์นาออกอากาศแพร่ไปยังเครื่องรับ โดยการกระจายเสียง ระบบ AM เป็นการผสมคลื่นเสียงกับคลื่นวิทยุตามความกว้างของคลื่นส่วนระบบ FM เป็นการผสมคลื่นเสียงกับคลื่นวิทยุตามความถี่ของคลื่นซึ่งแต่เดิมการผสมสัญญาณเสียงกับสัญญาณวิทยุหรือการ Modulation จะออกมาในรูปสัญญาณแบบ Analog หมายถึงการส่งสัญญาณเสียงและสัญญาณวิทยุออกมาในรูปคลื่นซายน์ (Sine Wave) ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับคลื่นน้ามีความต่อเนื่องกันแต่มีขนาดของสัญญาณไม่คงที่ การเปลี่ยนแปลงของสัญญาณเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป และแปรผันตามเวลา
การส่งสัญญาณแบบ Analog เช่น การส่งวิทยุกระจายเสียงระบบ AM แม้จะให้เสียงตรงตามต้นเสียงเดิมแต่การส่งสัญญาณแบบ Analog อาจถูกรบกวนจากบรรยากาศและอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ จนทาให้สัญญาณเกิดการผิดเพี้ยนได้
ส่วนการส่งวิทยุกระจายเสียงระบบ FM นั้น ถึงแม้จะมีคุณภาพของเสียงดี และมีความเพี้ยนของสัญญาณน้อยกว่าระบบ AM แต่ใช้แถบความถี่ในการส่งสัญญาณกว้างมากเมื่อเทียบกับความถี่ที่มีอยู่อย่างจากัด ซึ่งต้องรักษาพื้นที่ในแถบความถี่วิทยุไว้เพื่อใช้งานสื่อสารประเภทอื่นอีก เมื่อมีข้อจากัดดังกล่าวมาแล้ว จึงได้มีการพัฒนาระบบการส่งสัญญาณที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม นั่นก็คือ การส่งสัญญาณวิทยุกระจายเสียง ในระบบ Digital
การส่งสัญญาณวิทยุกระจายเสียง ระบบ Digital
การส่งสัญญาณวิทยุกระจายเสียง ระบบ Digital เป็นการนาเอาคลื่นสัญญาณ Analog ที่มีลักษณะเป็นคลื่นซายน์ (sine wave) มาแปลงเป็นสี่เหลี่ยม (Square Wave) ในรูปของตัวเลขฐานสอง (Binary Digits) โดยกาหนดให้มีค่าเป็น 0 ขณะไม่มีสัญญาณ และมีค่าเป็น 1 ขณะมีสัญญาณ สัญญาณ Digital จึงไม่ต่อเนื่องกัน ขนาดของสัญญาณจะมีค่าคงที่อยู่ระยะหนึ่งแล้วจึงเปลี่ยนค่าไปสัญญาณ Digital ที่เปลี่ยนไปนั้นจะมีลักษณะ เป็นการเหนี่ยวนาทางไฟฟ้าแบบเปิด/ปิด อัตราการเหนี่ยวนาทางไฟฟ้าเพื่อส่งข้อมูลรูปรหัสตัวเลขฐานสองนี้เรียกว่า บิท เรท (Bit Rate) การส่งสัญญาณระบบ Digital นั้น มีคุณสมบัติที่ดี คือ ความคมชัดของเสียงปราศจากการรบกวน และสามารถส่งได้หลายรายการในแถบความถี่เดียวกัน ในการส่งวิทยุกระจายเสียงระบบ Digital สถานีวิทยุต้องปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ต่างๆ จาก ระบบ Analog เป็นระบบ Digital ส่วนด้านเครื่องรับก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนเป็นระบบ Digital ด้วยเช่นเดียวกัน
ระบบวิทยุกระจายเสียง Digital ที่นามาแสดงครั้งแรก เรียกว่า ระบบ ยูเรก้า (Eureka 147) โดยประเทศทางกลุ่มยุโรป หลายประเทศเป็นผู้บุกเบิกทดลองส่งกระจายเสียงและแพร่ภาพที่เป็นระบบ Digital มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1981 องค์กรที่นาระบบการส่งวิทยุกระจายเสียงแบบ Digital มาใช้เป็นแห่งแรกของโลก คือ BBC โดยเริ่มส่งออกอากาศตั้งแต่ ค.ศ. 1997 เป็นต้นมา วิทยุกระจายเสียงระบบ Digital แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มยุโรป และกลุ่มอเมริกา
ระบบวิทยุกระจายเสียงระบบ Digital กลุ่มยุโรปแบ่งเป็น 3 ระบบ คือ
1. ระบบ DAB (Digital Audio Broadcasting) ระบบนี้มีคุณภาพเสียงดีเทียบเท่ากับการฟัง
จากเครื่องซีดี แต่ขนาดของสัญญาณใหญ่จึงมีปัญหาในการจัดสรรคลื่นความถี่
2. ระบบ DRM (Digital Radio Mondale) เป็นระบบ Digital สาหรับส่งวิทยุระบบ AM
คลื่นสั้น
3. ระบบ Sat Radio (Satellite Radio) ให้บริการส่งวิทยุ Digital ผ่านดาวเทียมโดยใช้
เทคโนโลยีของ DAB ครอบคลุมพื้นที่ทั่วโลก
วิทยุกระจายเสียง ระบบ Digital กลุ่มอเมริกาแบ่งเป็น 3 ระบบ คือ
1. ระบบ IBOC (In Band on Channel) หรือเรียกว่าการส่งสัญญาณวิทยุกระจายเสียงระบบ ดิจิตอลบนย่านความถี่กลาง IBOC เป็นเทคโนโลยีของบริษัท iBiquity Digital Corporation ประเทศสหรัฐอเมริกา ถูกออกแบบขึ้นเพื่อใช้ส่งกระจายเสียงในย่านความถี่กลาง เพื่อออกอากาศแทนการส่งกระจายเสียงในระบบ AM ซึ่งใช้งานมานาน สาเหตุสาคัญที่ต้องมีการคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อนามาแทนที่การส่งวิทยุกระจายเสียง ในระบบ AM ซึ่งคุณภาพของสัญญาณไม่ดีซึ่งใช้การ Modulation แบบ Amplitude Modulation รวมถึงความยาวคลื่นมาก เมื่อคลื่นเดินทางไปกระทบ เช่น สะพาน,สายส่งไฟฟ้า อาคารสิ่งกีดขวางต่างๆ ทาให้ Phase และ Amplitude ของคลื่นถูกลดทอนลงอย่างรวดเร็ว ทาให้สัญญาณที่รับได้มีเสียงซ่ารบกวนรวมถึงเกิดการจางหาย นอกจากนี้การไม่กาหนดให้มีช่องห่างระหว่างช่องความถี่ที่อยู่ติดกันหรือ Guard Band ได้ทาให้การส่งวิทยุ ระบบ เอ.เอ็ม.เกิดปรากฏการณ์ Sideband Overlap คือ เกิดการเหลื่อมซ้อนกันของสัญญาณในช่องความถี่ที่อยู่ติดกันทาให้สัญญาณเกิดการรบกวนกันเอง และมีคุณภาพที่แย่ลงเช่นกันโดยการรบกวนแบบนี้สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในเวลากลางวันจากผลของคลื่นดิน (Ground Wave) และกลางคืนจากผลของคลื่นดินและคลื่นฟ้า (Sky Wave)
เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวจึงได้มีการพัฒนาการส่งสัญญาณวิทยุกระจายเสียงเป็นระบบ Digital อย่าง IBOC ทดแทนการส่งวิทยุกระจายเสียง AM Analog เพื่อตอบสนองในเรื่องคุณภาพของสัญญาณ ความทนทาน หรือความสม่าเสมอของสัญญาณที่รับได้ สามารถออกอากาศแบบคู่ขนานระหว่าง AM Analog ไปสู่ระบบ Digital ได้พร้อมๆ กัน
รูปแบบการออกอากาศของ IBOC
คุณสมบัติเด่นของ IBOC คือ สามารถออกอากาศคู่ขนานไปกับสัญญาณระบบ Analog
ทีมผู้ออกแบบเทคโนโลยี IBOC ได้มองเห็นข้อเท็จจริงเหล่านี้ จึงได้ออกแบบให้ IBOC มีรูปแบบการออกอากาศ (หรือที่เรียกว่า “Service Mode”) ที่แตกต่างกัน 4 รูปแบบให้เลือกใช้ ดังนี้
• Hybrid service mode : MA1
• Hybrid service mode : MA2
• All digital service mode : MA3
• All digital service mode : MA4
Service Mode MA1 และ MA2 ใช้ในกรณีที่ต้องออกอากาศรายการในระบบ Digital ควบคู่ไปกับรายการในระบบ Analog โดยใช้ช่องความถี่เดียวกันซึ่งจะเป็นการส่งสัญญาณในช่วงแรกๆ ของการเปลี่ยนเทคโนโลยีวิทยุกระจายเสียงจาก ระบบ AM Analog ไปสู่ระบบ Digital ข้อแตกต่างระหว่าง MA1และ MA2 ก็คือ เรื่องของคุณภาพรายการโดยรายการที่ออกอากาศใน Service Mode MA1 สัญญาณจะมีคุณภาพต่ากว่า MA2 แต่จะมีความทนทานของสัญญาณที่ดีกว่าส่งผลให้มีเขตบริการที่ไกลกว่า
สาหรับ Service Mode MA3 และ MA4 จะเป็นการส่งสัญญาณในระบบ Digital เพียงอย่างเดียว จึงใช้ในกรณีที่การเปลี่ยนถ่ายเทคโนโลยีวิทยุกระจายเสียงเสร็จโดยสมบูรณ์ ผู้ฟังส่วนใหญ่ได้เปลี่ยนเครื่องรับ เป็นระบบ Digital เรียบร้อยแล้ว ข้อแตกต่างระหว่าง MA3และ MA4 จะคล้ายคลึงกับในกรณีของ MA1 กับ MA2 นั่นคือ MA3 จะดีกว่า MA4 ในเรื่องของความทนทานของสัญญาณและเขตบริการ แต่ก็จะด้อยกว่าในเรื่องของคุณภาพ
การทางานในภาพรวม
การทางานของ IBOC เริ่มตั้งแต่การนาสัญญาณเสียงต้นฉบับมาเข้ารหัส, บีบอัด ประมวลผลจนกระทั่งได้เป็นสัญญาณย่านความถี่ RF พร้อมสาหรับส่งออกอากาศนั้นสามารถแสดงได้ดังรูป
บล็อกไดอะแกรมแสดงการทางานของระบบการส่งวิทยุกระจายเสียงแบบดิจิตอล IBOC
สัญญาณ Audio ที่เป็น MPS จะถูกป้อนเข้าภาค Audio source coding and compression ทาหน้าที่แปลงสัญญาณ Audio จาก Analog ไปเป็น Digital และบีบอัดสัญญาณให้มีขนาดเล็กลงสัญญาณที่เป็น SPS จะถูกดาเนินการในลักษณะเดียวกันด้วย Audio Subsystem อีกชุดหนึ่งแยกจากกันต่างหากในกรณีที่ผู้ส่งกระจายเสียงเลือกการออกอากาศแบบ Multicasting
MPS กับ SPS จะประกอบไปด้วยข้อมูล 2 ส่วน คือ Audio และ Data ดังนั้นการประมวลผลในชั้นแรกนี้ จึงถูกจับแยกออกจากกันโดย Audio ที่ผ่านการแปลงเป็น Digital พร้อมทั้งบีบอัดและส่งเข้าภาค Audio Transport ทาหน้าที่จัดเรียงข้อมูลที่เข้ามาให้อยู่ในรูป Packet หลายๆ Packet โดยมีความยาว,โครงสร้างของ Packet เป็นรูปแบบเฉพาะตามมาตรฐานของ IBOC ในขณะที่ส่วน Data จะไม่ผ่านกระบวนการบีบอัดเหมือนเช่น Audio แต่จะถูกป้อนเข้าไปประมวลผลยัง Transport โดยตรง
จากนั้นจึงนา Output จาก Transport ของ Data (คือ PSD Transport จากรูป) มารวมกับ Audio ที่ภาค Audio Transport เพื่อจัดเรียงเป็น Packet รวมที่มีทั้ง Audio และ Data บรรจุอยู่ภายในการทางาน ของ Transport ดังที่ได้กล่าวมานี้เกิดขึ้นไม่เฉพาะแต่ MPS และ SPS เท่านั้นแต่ยังถูกนาไปใช้กับข้อมูลที่เป็น SIS (SIS data) และ AAS อีกด้วยดังแสดงในรูป
ขั้นต่อมา Packet ทั้งหมด (MPS packet, SPS packet, SIS packet และ AAS packet) ซึ่งข้อมูลภายในเป็นดิจิตอลแล้วจะถูกจับมารวมกันโดยภาค Service Multiplex เป็นสตรีมข้อมูลยาวๆแถวเดียวเพื่อป้อนเข้าRF/Transmission Subsystem
หน้าที่ของ RF/Transmission Subsystem จะประกอบไปด้วย 3 ส่วนใหญ่ๆ กล่าวคือ ส่วนแรกจะว่าด้วยเรื่องการประมวลผลสัญญาณ Digital ที่ได้รับมาซึ่งมีทั้งการปั่น/กวนสัญญาณ (scrambling),การเข้ารหัส (channel encoding) และการสลับข้อมูล (interleaving) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทาให้สัญญาณมีความแข็งแรงทนทานต่อสิ่งรบกวนในสภาพแวดล้อมเมื่อส่งออกอากาศสัญญาณดิจิตอลนั้นๆออกไป
ส่วนที่ 2 ของ RF/Transmission Subsystem จะเป็นกระบวนการทา OFDM (Orthogonal Frequency Division Multiplexing) ซึ่งถือเป็นรูปแบบการทา Frequency Division Multiplexing
ส่วนสุดท้ายของ Subsystem จะมีหน้าที่ในการเตรียมสัญญาณให้พร้อมสาหรับการส่งออกอากาศซึ่งประกอบไปด้วยกระบวนการย่อยๆ อีก 2 ส่วนด้วยกัน กล่าวคือ กระบวนการ Modulation และรวมเอาสัญญาณ Analog ซึ่งถูกหน่วงเวลา (delay) ไปขณะหนึ่งเข้ากับสัญญาณ IBOC ในกรณีที่เลือกใช้ service modeเป็น Hybrid เพื่อให้เวลาออกอากาศไปแล้วผู้ฟังสามารถเลือกรับรายการเป็นแบบ AM Analog หรือแบบ Digital IBOC ก็ได้
ในขณะที่กระบวนการที่ 2 จะเป็นการทา Frequency-up conversion เพื่อแปลงความถี่ของสัญญาณให้สูงขึ้นเป็นย่าน RF พร้อมสาหรับการขยายกาลังให้แรงและส่งออกอากาศผ่านทางระบบสายอากาศต่อไป
2. ระบบ HD Radio (High Definition Radio) พัฒนาจากระบบ IBOC ใช้กับเครื่องส่งวิทยุ AM
และ FM ในระยะแรกมีการส่งในประเทศสหรัฐอเมริกาเท่านั้น ต่อมาขายลิขสิทธิ์ในการส่งแก่ต่างประเทศ จุดเด่นของระบบ คือ ใช้กับเครื่องส่งวิทยุ AM และ FM ที่มีใช้อยู่เดิมได้ และส่งรายการในระบบAnalog เดิมได้ด้วย นอกจากนี้ยังส่งสัญญาณเสียงในระบบ Digital Radio ที่มีคุณภาพสูงรวมทั้งสัญญาณข้อมูล Digital ได้มีเครื่องรับจาหน่ายในราคาไม่แพง ข้อเสียของระบบคือ จะต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ในงานระบบให้กับบริษัทไอบิควิตี้ (iBiquity) ซึ่งเป็นผู้พัฒนาระบบ
3. ระบบ Sat Radio ให้บริการส่งวิทยุผ่านดาวเทียมครอบคลุมทั่วโลก เช่นเดียวกับในกลุ่มยุโรปการส่งวิทยุกระจายเสียงระบบ Digital นอกจากจะเป็นการประหยัดความถี่ในการส่ง เพราะสามารถส่งรายการได้หลายรายการในช่องเดียวกัน มีคุณภาพเสียงชัดเจนแล้ว ยังสามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ต และโทรศัพท์เคลื่อนที่ ในด้านการรับนั้นผู้ฟังสามารถรับรายการต่างๆ ได้โดยไม่ต้องยุ่งยากในการค้นหา เพราะวิทยุกระจายเสียง Digital ไม่จาเป็นต้องค้นหารายการทางความถี่ แค่จะเลือกจากชื่อรายการต่างๆ แทน และถ้ายังเปิดฟังรายการจากสถานีเดียวกันอยู่ ผู้ฟังสามารถเปลี่ยนชื่อจากรายการหนึ่งไปยังอีกรายการหนึ่งได้ทันที
ปัจจุบันวิทยุกระจายสียงระบบ Digital เป็นที่แพร่หลายทั้งใน ยุโรป อเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลี และนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2015 (พ.ศ. 2558) เป็นต้นไป สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) ได้ประกาศให้ประเทศสมาชิกทุกประเทศ ส่งวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ระบบ Digital ดังนั้นทุกประเทศจึงต้องเตรียมรองรับคาประกาศดังกล่าว รวมทั้งประเทศไทยซึ่งเป็นสมาชิกของ ITU ด้วย
คลื่นความถี่วิทยุเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่อย่างจากัด และรวมทั้งยังมีความเกี่ยวโยงกับการจัดระบบของเทคโนโลยีและแถบคลื่นวิทยุระหว่างประเทศด้วย ดังนั้นจึงต้องมีการทาความตกลงจัดสรรคลื่นความถี่วิทยุกระจายเสียงที่ชัดเจนขึ้นเป็นการบริหารความถี่วิทยุเพื่อให้การกระจายเสียงครอบคลุมพื้นที่มากที่สุด ป้องกันการเกิดปัญหาเขตการให้บริการเหลื่อมซ้อนกัน ซึ่งมีผลทาให้การรับคลื่นความถี่วิทยุกระจายเสียงขาดความชัดหรือรับไม่ได้
การเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการทางเทคโนโลยีทาให้ลักษณะของสื่อเปลี่ยนไป ปัจจุบันการส่งสัญญาณวิทยุกระจายเสียงสามารถส่งสัญญาณได้หลายช่องทาง สามารถสรุปได้พอสังเขป ดังนี้
1. วิทยุกระจายเสียงระบบข้อมูลหรือเรียกว่า Radio Broadcast Data System (RBDS) อาศัยเทคโนโลยี Digital ทาให้สถานีวิทยุสามารถส่งข้อมูลถึงผู้ฟังผ่านอุปกรณ์เครื่องรับที่เรียกว่า Smart Radio Receivers ได้ ข้อมูลที่ส่งสามารถระบุชื่อเพลงและชื่อศิลปินได้ RBDS ให้ความสะดวกกับผู้ฟังในการเลือกสถานีโดยมีหน้าปัทม์แสดงข้อมูลและการกวาดคลื่นที่ให้ผู้ฟังเลือกสถานีที่รับฟังได้จากรูปแบบของสถานี และยังสามารถบ่งชี้สถานี ที่เผยแพร่ข้อมูลการจราจรและในกรณีที่ผู้ฟังต้องการทราบข้อมูลนี้ เครื่องรับ RBDS ประจารถก็จะสามารถคัดเลือกสถานีนั้นมาให้ฟังได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้เครื่องรับ RBDS ยังสามารถติดตั้งในบ้านได้ด้วย
2. การกระจายเสียงระบบ Digital การนาเทคนิค Digital มาใช้แทน Analog ในการกระจายเสียงเป็นการกระจายเสียง ระบบ Digital เรียกว่า DAB ( Digital Audio Broadcasting ) ทาให้คุณภาพเสียงดีกว่าเดิม มีประสิทธิภาพสูงและประหยัด ใช้กาลังส่งน้อยกว่าแต่ครอบคลุมพื้นที่มากกว่า ไม่มีปัญหาการรับคลื่นของสถานี ที่ติดกันสามารถให้บริการเสริมที่เป็นข้อมูลข่าวสารต่างๆ ได้ เช่น ข้อมูลการพยากรณ์อากาศข้อมูลการจราจรเป็นต้น
3. การส่งกระจายเสียงผ่านดาวเทียม เรานาดาวเทียมมาใช้กับวิทยุกระจายเสียงในการผลิตและกระจายเสียงถึงผู้ฟัง เรียกว่า Direct Broadcast System หรือ DBS โดยการส่งกระจายเสียงนี้ส่งสัญญาณจากแหล่งผลิตหรือสถานีผ่านดาวเทียมกลับมายังภาครับและส่งต่อไปยังเครื่องรับวิทยุกระจายเสียง การกระจายเสียงผ่านดาวเทียมนี้มีข้อดี คือ สามารถเชื่อมโยงสัญญาณผ่านสิ่งกีดขวางได้ สัญญาณครอบคลุมพื้นที่ได้มาก สามารถส่งสัญญาณได้หลายสถานีพร้อมกัน และให้คุณภาพสัญญาณที่ดี
4. การใช้เส้นใยแก้วนาแสง (Fiber optic) กับวิทยุกระจายเสียง โดยสัญญาณจะถูกส่งตรงไปยังบ้านหรือสถานที่ที่มีการเชื่อมโยงสายเคเบิ้ลของเส้นใยแก้วนาแสง ให้สามารถฟังข่าวสารจากรายการต่างๆ ของทางสถานีได้
5. คอมพิวเตอร์ โดยทาการเชื่อมโยงวิทยุกระจายเสียงเข้ากับเครือข่ายคอมพิวเตอร์อินเทอร์เน็ต (Internet) โดยที่สถานีวิทยุกระจายเสียงจัดทาเว็บไซต์และโฮมเพจ (Web site และ Home page ) เพื่อให้ผู้ฟัง ที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์เข้าสู่โปรแกรมและ Address ที่ทางสถานีกาหนดไว้ซึ่งผู้ฟังก็จะสามารถรับฟังการกระจายเสียงผ่านสื่อคอมพิวเตอร์ได้
วิทยุกระจายเสียงเป็นศาสตร์ที่อาศัยศิลปะของการจินตนาการ กระจายเสียงได้รวดเร็ว เวลาใดก็ได้ ไม่ต้องใช้เวลา บุคลากรและเทคนิคการเตรียมการมากนัก เมื่อผู้ฟังฟังแล้วก็จะสามารถสานต่อเสียงนั้นๆ รับรู้และตีความเป็นภาพและความหมายได้
จัดรูปแบบเอกสารได้เเย่มากครับ ไม่เเยกหัวข้อให้ชัดเจน เเต่ข้อมูลดี
ReplyDelete